นางสาววิสาระดี เตชะธีราวัฒน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดเชียงราย พรรคเพื่อไทย
นางสาววิสาระดี (ชื่อเล่น: ยิ้ม) เกิดเมื่อวันพุธที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2524 (อายุ 27 ปี) เป็นบุตรสาวคนเดียวของนายวิสาร เตชะธีราวัฒน์ อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย จบการศึกษาจากโรงเรียนศิริมาตย์เทวี อำเภอพาน จังหวัดเชียงราย ก่อนจะเข้ามาศึกษาต่อที่โรงเรียนนานาชาติร่วมฤดี กรุงเทพมหานคร จากนั้นจึงเข้าศึกษาในระดับปริญญาตรี ที่มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ และได้โอนย้ายไปศึกษาต่อในสาขาเศรษฐศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยวูลองกอง (Wollongong) ประเทศออสเตรเลีย และ ปริญญาโท ในสาขาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ที่มหาวิทยาลัยนอร์ทแทมเบีย (Northumbria) เมืองนิวคาสเซิล ประเทศอังกฤษ
เดิมมีชื่อว่า วิมลสิริ แต่เปลี่ยนเป็น วิสาระดี เพียง 2 เดือนก่อนเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2550 เท่านั้น โดยมี ร.ต.ท.เชาวริน ลัทธศักดิ์ศิริ เป็นผู้ตั้งให้ โดยมาจากชื่อว่า วิสาร อันเป็นชื่อของบิดาที่ถูกตัดสิทธิไป ส่วนชื่อว่า ยิ้ม มาจากเมื่อตอนเป็นเด็กเป็นคนยิ้มง่ายหรือหัวเราะง่าย นายวิสารบิดาจึงให้ชื่อว่า ยิ้ม
ส่วนตัว นางสาววิสาระดีชื่นชอบการอภิปรายของ ร.ต.ท.เชาวริน ลัทธศักดิ์ศิริ, คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์, นายชวน หลีกภัย และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และในปลายปี พ.ศ. 2552 จะเข้าพิธีแต่งงานกับ นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย บุตรชายของนายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ที่ถูกตัดสิทธิการเล่นการเมือง 5 ปี
การเมือง
นางสาววิสาระดี ลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2550 ในเขตเลือกตั้งที่ 2 จังหวัดเชียงราย สังกัดพรรคพลังประชาชน และได้รับเลือกเป็นอันดับที่ 2 ของเขต ก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยให้ยุบพรรค จึงย้ายไปสังกัดพรรคเพื่อไทย เมื่อต้นเดือนธันวาคม พ.ศ. 2551
ต่อมา เมื่อวันที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2552 นางสาววิสาระดี ได้รับมอบหมายจากพรรค ให้เป็นหนึ่งในผู้อภิปรายไม่ไว้วางใจ นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ โดยมีสาระสำคัญคือ นายกษิตเป็นบุคคลที่ไม่มีความน่าเชื่อถือ ขาดคุณสมบัติในการเป็นรัฐมนตรี เนื่องจากในขณะที่ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตในหลายประเทศ ได้ก่อความขัดแย้งกับผู้บังคับบัญชา และผู้ใต้บังคับบัญชาหลายครั้ง อีกทั้งใช้ตำแหน่งหน้าที่ บีบบังคับให้นักธุรกิจส่งออก จัดหาเปียโนมามอบให้ตน โดยอ้างว่าจะนำไปให้กับผู้ใหญ่ แต่กลับนำมาประดับบ้านของตนเอง การขอโควตาตั๋วเครื่องบินไปกลับ กรุงเทพฯ-ญี่ปุ่น จากบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ปีละ 500 ใบ เพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับญาติพี่น้องในการเดินทาง รวมถึงการสนทนากับพระภิกษุสงฆ์อย่างไม่ให้ความเคารพ เป็นต้น
โดยระหว่างที่นางสาววิสาระดีกำลังอภิปรายอยู่นั้น นางสาวรังสิมา รอดรัศมี ส.ส.สมุทรสงคราม พรรคประชาธิปัตย์ ได้ลุกขึ้นประท้วงโดยอ้างว่า นางสาววิสาระดี อ่านเอกสารตลอดการอภิปราย ซึ่งเป็นการผิดข้อบังคับการประชุม จึงขอตรวจสอบเอกสารฉบับนั้นด้วย อีกทั้งกล่าวหาว่า แม้จะจบการศึกษาจากต่างประเทศ แต่การกระทำดังกล่าว ก็แสดงให้เห็นว่า มิได้ใช้สมองของตนเอง จึงทำให้เกิดการลุกขึ้นประท้วง จาก ส.ส.หญิงของพรรคเพื่อไทยหลาย คน ที่ขอให้ถอนคำพูด ซึ่งในท้ายที่สุด นางสาวรังสิมา ก็ยอมถอนคำพูดดังกล่าว แต่ยังได้ข่มขู่ต่อไปอีกว่า หากยังทำเช่นนี้อีก ตนจะต่อว่าด้วยถ้อยคำที่รุนแรงกว่าเดิม นอกจากนี้ ยังมี ส.ส.หญิงจากพรรคประชาธิปัตย์ คือ นางสาวสุพัชรี ธรรมเพชร ส.ส.พัทลุง, นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล ส.ส.นครศรีธรรมราช และ นางพัฒนา สังขทรัพย์ ส.ส.เลย พรรคภูมิใจไทย ที่ร่วมประท้วงด้วย
ทั้งนี้ นางสาววิสาระดี ได้ใช้สิทธิพาดพิง โดยกล่าวถึงเรื่องดังกล่าวว่า ตนมิได้มายอวาที หากกล่าวหาว่า จบปริญญาโทจากเมืองนิวคาสเซิล แล้วจะไม่มีสมอง นายอภิสิทธิ์ ซึ่งเกิดที่เมืองนี้ ก็คงไม่มีสมองด้วยเช่นกัน และตนจะไม่กล่าวว่าถูกรังแก แต่ตนถือว่า เป็น ส.ส.สมัยใหม่ ได้ประสบกับเหตุการณ์นี้ ก็เท่ากับแจ้งเกิดในสภาฯ แล้ว
นางสาววิสาระดี ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนหลังการอภิปรายว่า ตนได้รับการสอนเทคนิคการอภิปราย และคำแนะนำจาก นายอดิศร เพียงเกษ, นายปิยะณัฐ วัชราภรณ์ อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย, ร.ต.ท.เชาวริน ลัทธศักดิ์ศิริ ส.ส.ระบบสัดส่วน และ นายพีรพันธุ์ พาลุสุข ส.ส.ยโสธร พรรคเพื่อไทย
ต่อมา ศาลรัฐธรรมนูญได้ แจ้งความดำเนินคดีกับนางสาววิสาระดีข้อหาหมิ่นศาลในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ซึ่งในตอนหนึ่งนางสาววิสาระดีกล่าวพาดพิงศาลว่า ศาลได้กลั่นแกล้งพรรคพลังประชาชนทำให้พรรคถูกยุบนั้น
นอกจากนี้แล้ว นางสาววิสาระดีได้เข้าร่วมชุมนุมกับทางกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. ที่ชุมนุมปิดล้อมทำเนียบรัฐบาลในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2552 อีกด้วย